คุณนุสรา
(อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย พร้อมด้วย ดร.สมพร สืบถวิลกุล
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย และคุณมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ
สำนักงาน คปภ. ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Adapting Together : When Digital Is
the Only Way Forward” ภายในงานสัมมนา InsurTech Summit 2025
ภายใต้แนวคิด “Co-creating
the Future of Insurance, Powering the Community” (สร้างสรรค์อนาคตประกันภัย
จุดพลังสังคมให้เติบโตและยั่งยืน) จัดโดยศูนย์ CIT
(Center of InsurTech, Thailand) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(สำนักงาน คปภ.) ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวถูกจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัย
(InsurTech) รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาและนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาปรับใช้ในธุรกิจประกันภัยอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเปิดเวทีให้หน่วยงานกำกับดูแล กลุ่มธุรกิจประกันภัย
และผู้ประกอบการเทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech Startup) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ณ ศูนย์ประชุม ซี อาเซียน อาคารซีดับเบิ้ลยู ทาวเวอร์ ชั้น 10 เมื่อวันที่ 29
ตุลาคม 2568
ภายในการเสวนาดังกล่าว
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวถึง ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจประกันชีวิตเติบโต
นั้นมาจาก “ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของประชาชน”
โดยเฉพาะหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับ ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพและภาวะเงินเฟ้อทางการแพทย์
(Medical
Inflation) ที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับประชาชนไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงเรื่อง “อายุที่ยืนยาว” (Life
span) เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการมี
“ช่วงชีวิตที่แข็งแรงและมีคุณภาพ” (Health span) ควบคู่กันไปด้วย
จึงส่งผลให้ความต้องการทำประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น
เนื่องจากมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างหลักประกันให้กับตนเองและครอบครัวในระยะยาว
นอกจากนี้
นายกสมาคมฯ ยังมองว่า เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ ๆ
มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้สะดวก รวดเร็ว
และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และระบบ e-Services ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่
โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Gen Z ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี แต่ความท้าทายสำคัญของภาคธุรกิจคือ
“การสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชน”
เพื่อให้สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานะทางการเงินของตนเองได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
“ธุรกิจประกันชีวิตอาศัยความเชื่อใจเป็นพื้นฐาน
การนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาช่วยจึงเป็นเพียงเครื่องมือสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ‘คน’
โดยเฉพาะตัวแทนประกันชีวิตที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาและบริการอย่างเข้าใจ
ถ้าลูกค้าติดขัดตรงไหนก็ยังเลือกที่จะเข้ามาปรึกษากับตัวแทนประกันชีวิตหรือที่ปรึกษาทางการเงินอยู่
ความท้าทายคือเราจะทำอย่างไรให้คนทุกระดับเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกันในยุคดิจิทัลนี้
ตัวแทนประกันชีวิตทุกคนมีคุณค่า
เพียงแต่แค่ต้องปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ทั้งเรื่อง Digitizer
Station การใช้ e-app , e-Receipt รวมถึงการแนะนำ e-Services ที่จะทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่รวดเร็วขึ้น”
นอกจากนี้
นายกสมาคมฯ ยังเน้นย้ำถึงการสร้าง Insurance Literacy หรือความรู้ความเข้าใจด้านประกันชีวิต ให้กับประชาชน
เพื่อให้สามารถประเมินได้ว่า “ผลิตภัณฑ์ใดเหมาะสมกับตนเอง”
รวมถึงการส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) เพื่อให้คนไทยที่มีช่วงอายุที่ยาวขึ้น
ควบคู่ไปกับมีสุขภาพที่ดี เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
และลดภาระความเสี่ยงในระยะยาว
“เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย
ซึ่งเทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนแต่หัวใจสำคัญคือการพัฒนาคนให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง สร้างความเข้าใจ
และใช้ดิจิทัลให้เป็น เพื่อให้ทุกคนสามารถเติบโตไปด้วยกัน” นายกสมาคมประกันชีวิตไทย
กล่าวทิ้งท้าย




