นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย
เปิดเผยว่า 6 เดือนแรกปี 2563
(มกราคม – มิถุนายน) ธุรกิจประกันชีวิตมีผลงานเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น
285,942.47ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 3.27 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
จำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ จำนวน 76,196.28 ล้านบาท อัตราเติบโตลดลงร้อยละ
9.29 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปจำนวน 209,746.19 ล้านบาท อัตราเติบโตลดลงร้อยละ
0.88 และมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตร้อยละ 81
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย
(1) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก จำนวน 49,559.58 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ
1.77
(2) เบี้ยประกันภัยรับชำระครั้งเดียว จำนวน 26,636.70
ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 24.55
โดยจำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับตามช่องทางการจำหน่าย
ดังนี้
อันดับ
1 การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 142,246.06 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 49.75
หรือเติบโตลดลงร้อยละ
1.10 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
อันดับ
2 การขายผ่านธนาคาร จำนวน 116,580.46 ล้านบาท
สัดส่วนร้อยละ 40.77
หรือเติบโตลดลงร้อยละ 7.35 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
อันดับ
3 การขายผ่านช่องทางนายหน้า จำนวน 13,446.58
ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 4.70
หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.40 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
อันดับ
4 การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ จำนวน 6,942.73
ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 2.43
หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.92
เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
อันดับ
5 การขายผ่านช่องทางดิจิทัล 328.57 ล้านบาท
สัดส่วนร้อยละ 0.11
หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 88.01 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
อันดับ
6 การขายผ่านช่องทางไปรษณีย์ จำนวน 23.26
ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 0.01
หรือเติบโตลดลงร้อยละ 8.89
เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
อันดับ
7 การขายผ่านช่องทางอื่น ๆ 6,374.79 ล้านบาท
สัดส่วนร้อยละ 2.23
หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.53 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตที่ลดลงในช่วงครึ่งแรก
ปี 2563 เนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ที่ทำให้เกิดมาตรการป้องกันระหว่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่าง
ๆ ทำให้ขาดสภาพคล่อง หลายธุรกิจปิดตัวลงมีคนจำนวนมากว่างงาน สูญเสียรายได้ ผู้บริโภคต้องปรับตัวโดยการประหยัดรายจ่ายส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นเดียวกับธุรกิจประกันชีวิต
โดยเฉพาะช่องทางตัวแทนประกันชีวิตซึ่งเป็นช่องทางหลักที่ไม่สามารถออกไปเสนอขายด้วยวิธี
face
to face ได้ ซึ่งทางสมาคมได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(คปภ.) ในการแก้ปัญหาเบื้องต้น โดยการเสนอแนวทางการเสนอขายแบบ Digital face
to face ที่ให้ผู้เสนอขายสามารถเสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้เสียงและภาพให้ถือเสมือนเป็นการพบลูกค้า
ในระหว่างสถานการณ์จำเป็น และได้รับความยินยอมจากลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมของธุรกิจที่ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางธนาคารลดลง
ภาวะความกดดันจากเรื่องมาตรฐานรายงานทางบัญชีและการเงิน IFRS
17 พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และการเผชิญกับอัตราความเสียหายจากคนกลางและการฉ้อฉลประกันภัย (Fraud
& Abuse) สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่ออัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในครึ่งปีแรกทั้งสิ้น
ปัจจัยที่สองมาจากภาคธุรกิจ
ที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการบริหารช่องทางการขายและการบริการให้สอดคล้องกับสถาณการณ์ปัจจุบัน
เช่น การพัฒนาช่องทางการขายในรูปแบบ Digital และการบริหารผ่านระบบออนไลน์ในรูปแบบแพลตฟอร์มต่าง
ๆ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้มีความหลากหลาย ให้สามารถตอบสนองความต้องการและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของทุกกลุ่มเป้าหมาย
โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน
และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เน้นการให้ความคุ้มครอง รวมถึงพัฒนาสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง